วิธีลดน้ําหนักเร่งด่วน หรือลดความอ้วนเร่งด่วน เป็นอย่างไร มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร


ลดความอ้วนเร่งด่วน

การลดน้ำหนักสำหรับหลายคน อาจเป็นเรื่องที่ฟังดูแล้วน่าเบื่อ ดูเป็นเรื่องยาก หรือแค่นึกภาพก็ชวนให้ท้อ และหมดกำลังใจซะแล้ว เพราะต้องใช้ระยะเวลานานถึงจะเห็นผล

ซึ่งในความเป็นจริง การลดน้ำหนักในแนวทางที่ถูกต้องและยั่งยืน ก็จำเป็นที่จะต้องใช้เวลาอยู่แล้ว เพราะการลดน้ำหนักที่ใช้เวลาสั้นๆ นั้น อาจมีผลเสีย และมีความเสี่ยงต่อความผิดปกติของร่างกายได้ในภายหลัง

แต่ถ้าจะถามกันจริงๆ ว่า วิธีลดน้ำหนักแบบเร่งด่วนนั้น มีหรือไม่ ก็ต้องตอบว่า “มีอยู่เหมือนกัน” ค่ะ

เพียงแต่ผู้ที่ใช้วิธีการลดน้ำหนักเหล่านี้ ก็จะต้องรับเอาความเสี่ยง ต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับร่างกายในภายหลัง

สำหรับวิธีลดน้ําหนักเร่งด่วน หรือลดความอ้วนเร่งด่วน จะมีวิธีการใดบ้าง และมีข้อดี-ข้อเสียอะไรบ้างนั้น มาดูกันค่ะ

 

ใช้วิธีไม่รับประทานอาหารเย็น

เป็นวิธีที่ได้รับการบอกต่อกันมาเป็นเวลานาน วิธีนี้ จะทำให้น้ำหนักลดไปได้อย่างรวดเร็ว อาจเห็นผลชัดเจนในไม่กี่สัปดาห์ ซึ่งบางคนอาจจะลดได้มากถึง 2-3 กิโลกรัมเลยทีเดียว

แต่การใช้วิธีนี้ จะใช้ได้ไม่นานนัก เพราะเมื่อร่างกายปรับตัว และเรียนรู้ให้เข้ากับสภาวะนี้ได้ ก็จะเปิดระบบป้องกันภาวะการขาดอาหาร ด้วยการสะสมไขมันเพื่อมาใช้เป็นพลังงานสำรอง

ดังนั้น เมื่อไหร่ก็ตาม ที่คุณกลับมารับประทานอาหารตามปกติ ก็จะทำให้น้ำหนักเด้งกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และไขมันในส่วนที่เกิดขึ้นนี้ ก็จะยากที่จะกำจัดออกด้วย

 

วิธีการลดน้ำหนักของ Dr. Atkin

เป็นแนวทางที่ถูกนำมาจากต่างประเทศมี ซึ่ง Dr. Atkin เป็นผู้คิดค้นสูตรนี้ขึ้นมา เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยลดน้ำหนักได้อย่างรวดเร็ว และมีชื่อเสียงมาจากการบอกต่อกันมา ว่าเป็นวิธีการลดน้ำหนักของดาราฮอลลีวู้ดหลายๆ คน

โดยหลักการของการลดน้ำหนักวิธีนี้ อาจเรียกได้ว่าเป็นสูตร Low Crab คือการหลีกเลี่ยงแป้งและน้ำตาลให้มากที่สุด เพื่อให้ร่างกายดึงเอาพลังงานจากไขมัน มาใช้ให้ได้มากที่สุดนั่นเอง

ซึ่งวิธีการของ Dr. Atkin นี้ จะใช้ระยะเวลาทั้งสิ้น 14 วัน ที่จำเป็นต้องทำตามอย่างเคร่งครัด

โดยวิธีการลดน้ำหนักด้วยวิธีนี้ จะสามารถรับประทานอาหารได้มากเท่าที่ต้องการ และไม่มีการจำกัดด้วยว่าเป็นมื้อไหน คือเรียกว่าอยากจะรับประทานเมื่อไหร่ ก็สามารถทำได้เลย

 

ซึ่งสูตรนี้ มีวิธีการและอาหารที่ควรรับประทาน และควรหลีกเลี่ยง ดังต่อไปนี้

 

อาหารที่รับประทานได้

 รับประทานเนื้อสัตว์ได้ทุกชนิด มากเท่าที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อวัว  เนื้อหมู หรือเนื้อไก่ แม้แต่อาหารทะเลต่างๆ ก็ไม่มีปัญหา โดยสามารถเอามาปิ้ง ย่าง ทอด ต้ม แต่สิ่งสำคัญคือต้องไม่มีน้ำตาลเข้ามาเป็นส่วนประกอบอย่างเด็ดขาด

 ผักต่างๆ สามารถรับประทานได้ แต่เฉพาะผักสลัดที่มีใบสีเขียว เช่น ผักกกาดแก้ว ในปริมาณไม่เกิน 1 ถ้วยตวง ของแต่ละมื้อ

 ไข่ไก่ สามารถรับประทานได้ตามปกติ รวมไปถึงไข่เป็ด หรือไข่นกกระทาด้วย

 น้ำมันพืช ไม่ว่าจะเป็นชนิดใด ก็สามารถใช้ได้หมด

 เครื่องปรุงรสทุกชนิด สามารถนำมาประกอบอาหารได้ตามปกติ แต่จะต้องไม่มีน้ำตาลเข้ามาเป็นส่วนผสม

 ชีสชนิดต่างๆ เช่น Edam, Blue Cheese เป็นต้น แต่ก็ควรสังเกตส่วนประกอบให้ดีก่อนที่จะซื้อ

 

อาหารที่ต้องหลีกเลี่ยง

 กาแฟ เพราะสารคาเฟอีนจะไปขัดขวางกระบวนการทางเคมี ทำให้การลดน้ำหนักไม่ได้ผลเท่าที่ควร

 เครื่องดื่ม ที่ผสมแอลกอฮอล์ทุกประเภท

 ผลไม้ ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ชนิดที่หวานมากหรือน้อยก็ตาม เพราะผลไม้แทบทุกชนิด จะมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบอยู่ทั้งนั้น รวมไปถึงผักบางชนิดที่มีรสออกหวาน อย่างเช่น แครอท หรือมะเขือเทศ และน้ำผลไม้ต่างๆ ก็ต้องหลีกเลี่ยงไม่รับประทานด้วยเช่นกัน

 ขนมหวานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคุ้กกี้ ขนมเค้ก ขนมไทย มีน้ำตาลและแป้งอยู่สูงแทบทั้งสิ้น

 นม โดยเฉพาะที่วางขายทั่วๆ ไป ตามซูเปอร์มาเก็ต หรือร้านสะดวกซื้อ เพราะล้วนแล้วแต่มีคาร์โบไฮเดรตอยู่ในปริมาณมาก

 

อย่างไรก็ตาม วิธีข้อง Dr. Atkin นี้ ไม่เหมาะที่จะใช้กับผู้ที่ร่างกายไม่แข็งแรง หรือเด็กที่กำลังอยู่ในช่วงวัยเจริญเติบโต และผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ เพราะบุคคลเหล่านี้ ยังต้องการสารอาหารที่ครบถ้วนนั่นเอง

ส่วนข้อเสียของวิธีการลดน้ำหนักแบบนี้ก็คือ กระบวนการเมตาบอลิซึ่มอาจจะมีปัญหา และสำหรับบางคนที่เจอก็คือ เมื่อผ่านไปในระยะหนึ่ง คือประมาณ 1 ปี จากการติดตามผลของผู้ที่ใช้วิธีการนี้ น้ำหนักตัวจะกลับมาเท่าเดิม หรือเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย

 

Fast Five Diet

เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง เพราะให้ผลที่รวดเร็ว โดยหลักการของการลดน้ำหนักด้วยวิธีนี้ ก็คือ สามารถรับประทานได้ทุกอย่างตามที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นอาหารทอด ขนมหวาน แม้แต่น้ำอัดลม ก็รับประทานได้ไม่อั้น

เพียงแต่มีข้อแม้คือ จะรับประทานได้เพียง 5 ชั่วโมงต่อวัน เช่น หากเริ่มรับประทานตั้งแต่ 8 โมง ก็จะมีเวลาในการรับประทานแค่ถึงเวลา 12.00 น. นอกเหนือจากเวลานี้ จะรับประทานได้แต่เพียงน้ำเปล่าเท่านั้น

ซึ่งวิธีการนี้ ก็มีข้อแนะนำว่า ให้ใช้ได้ไม่เกินสัปดาห์ละเพียงแค่ 3 วัน หากมากกว่านี้ จะส่งผลเสียกับสุขภาพเช่นกัน

และเป็นวิธีที่ไม่ยั่งยืน ซึ่งผู้ที่ร่างกายไม่แข็งแรง หรือมีปัญหากับระบบย่อยอาหารก็ไม่ควรใช้

 

วิธีการทั้งหลายที่ว่ามาเหล่านี้ อาจจะใช้ได้เพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น แน่นอนว่า คงไม่มีใครทำแบบนี้ไปได้ตลอดชีวิตอย่างแน่นอน

ดังนั้น วิธีการที่ถูกต้องที่สุดคือ รับประทานอาหารให้ครบทุกมื้อ และเลือกรับประทานแต่ของดีๆ พยายามหลีกเลี่ยงแป้งและไขมัน หรือรับประทานให้น้อยลง พร้อมกับออกกำลังกายเป็นประจำ

แม้จะต้องใช้เวลา และความอดทนอยู่สักหน่อย แต่เป็นการลดน้ำหนักที่ดี และยั่งยืนที่สุดแล้วนั่นเองค่ะ

 

(อ่านเพิ่มเติม: วิธีแก้โยโย่เอ็ฟเฟคต์ จากการลดความอ้วนผิดวิธี / กินอะไรก่อนนอนที่ไม่ทำให้อ้วน / การเดิน ช่วยลดความอ้วนได้หรือไม่)